ประชาธิปไตยแบบดิจิตอลคืออะไร?
What is Digital Democracy?
What is Digital Democracy?
จุดมุ่งหมายของหนังสือเล่มนี้ก็คือพูดถึงว่า
ทำไม อินเทอร์เน็ต เวิร์ลไวด์เว็บ
และการสื่อสารการเมืองผ่านทางสื่อคอมพิวเตอร์นั้น
ส่งผลกระทบต่อประชาธิปไตยอย่างไร มุ่งเน้นในหลากหลายทฤษฎีและปัญหาข้อมูลที่เกิดขึ้นจริง ที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยแบบดิจิตอล
ประชาธิปไตยแบบดิจิตอล ก็คือการใช้ข้อมูลหรือการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยี(ICT)และการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์(CMC) เพื่อเพิ่มความมีส่วนร่วมในการสื่อสารด้านประชาธิปไตยของประชาชน โดยในหนังสือเล่มนี้จะพบกับการสื่อสารมากมายของนักวิทยาศาสตร์ที่พุ่งตรงไปในปัญหาเรื่องทฤษฎี ประชาธิปไตยดิจิตอล การฝึกปฏิบัติและความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์และการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยี ที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตย
เราใช้คำว่า ประชาธิปไตยดิจิตอลเพื่อจะได้สัมพันธ์กับการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยีและการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์ โดยได้ให้ความหมายของประชาธิปไตยดิจิตอล คือชุดสะสมของความตั้งใจที่จะฝึกปฏิบัติทางประชาธิปไตย โดยไม่มีกำหนดเวลา สถานที่ และสภาพทางร่างกายต่างๆ โดยใช้การสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยีและการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์แทน แต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นการแทนที่ระบบประชาธิปไตยอนาล็อกโดยสิ้นเชิง
แนวคิดของประชาธิปไตยดิจิตอล ทำให้ทิ้งแนวความคิดเดิม(ประชาธิปไตยอนาล็อก) คำว่า “ประชาธิปไตยแท้จริง” บอกถึงว่าประชาธิปไตยแบบการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์นั้นเป็นสื่อที่รวมหลากหลายรูปแบบของประชาธิปไตย เพื่อเป็นการเปรียบเทียบกัน ในหนังสือเล่มนี้จะมีการพิสูจน์ให้เห็นถึงผลลัพธ์ของการฝึกปฏิบัติประชาธิปไตย ผ่านทางประชาธิปไตยแบบดิจิตอล ซึ่งผสมผสานโดยผ่านสื่อการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยีและการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์ สื่อสารกันโดยเห็นหน้าตากัน คำว่า “เทเลดิโมเครซี่” การสื่อสารโดยการพูดคุย ซึ่งได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับประชาธิปไตยโดยการสนับสนุนของ รอส เพอร์รอท , อัลวิน ท็อฟเฟอร์ และคนอื่นๆ โดยในหนังสือเล่มนี้จะได้เห็นความผสมผสานระหว่างประชาธิปไตยโดยตรงหรือโดยผู้แทน
คำว่า “อิเล็กทรอนิก ดิโมเครซี่” นั้นเป็นการใช้คำที่กว้างไป เพราะยังมีโปรแกรมอื่นๆ ที่เผยแพร่และพูดคุยอีกมากมาย ที่เป็นอิเล็กทรอนิกเช่นเดียวกัน ส่วนคำว่า “ไซเบอร์ ดิโมเครซี่”เป็นสื่อที่หละหลวมและคลุมเครือมากที่สุด
แน่นอนว่ามีการคาดหมายและการเรียกร้องในสื่อใหม่ๆ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ในปี ค.ศ.1992 โธมัส เอดิสัน กล่าวว่า รูปภาพการเคลื่อนไหวนั้นจะมาแทนที่หนังสือเรียนในโรงเรียนต่างๆ ต่อมา แซมอล มอร์ส ผู้คิดค้นโทรเลขได้คาดเดาไว้ว่า ความสันติสุขของโลก จะเป็นผลมาจากการคิดค้นของเขา เจ.ลิคไลเดอร์ผู้ออกแบบ คีย์ เอพีอาร์ เอเน็ต ทำนายล่วงหน้าว่าอะไรที่กลายมาเป็นอินเทอร์เน็ตนั้น จะเป็นเครื่องมือสู่สันติสุขของโลก ผู้ท่องอินเทอร์เน็ตบางคนก็กล่าวว่า วิทยุ จะเป็นเหมือนกับมหาวิทยาลัยที่ไม่มีกำแพงในช่วงยุค1970-1980 เคเบิ้ล ทีวีนั้นได้กล่าวถึงการปฏิวัติทางการศึกษาหลายครั้งโดยใช้ระบบของพวกเขา ซึ่งที่กล่าวมาเล่านี้เป็นการพูดซึ่งไม่สนใจกับความเป็นจริง ที่ว่าเทคโนโลยีนั้นจะหมายถึงการสื่อสารมากกว่าการแทนที่ ซึ่งต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
เราจะพูดถึงการหลอกลวงและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้กับประชาธิปไตย ซึ่งอาจจะตามมาด้วยการยกระดับประชาธิปไตยโดยไม่ต้องอาศัยแรงมาก โดยสัมพันธ์กับประชาธิปไตยแบบดิจิตอล ซึ่งเรียกว่า “ประชาธิปไตยออร์แกนิค” ถึงอย่างไรก็ตามก็ยังบ่งชี้โดยชัดเจนถึงการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยีและการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์นั้นสามารถช่วยโปรโมทประชาธิปไตยได้ที่ไหนและมีรูปแบบและขั้นตอนของประชาธิปไตยแบบดิจิตอลอย่างไร เช่น จอร์น คีน ถกเถียงว่า สื่อสารทางการเมืองในรูปแบบกลุ่มส่วนน้อยมีผลที่ดีต่อระบบการเมืองประชาธิปไตย
เทรีซา แอร์ริสัน , ทิโมธี สตีเฟ่น และลิซ่า ฟัลวี(ค.ศ.1999) ได้ทำการสำรวจที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์ด้านการสื่อสาร ได้ทำการสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีการสื่อสารกับประชาธิปไตยด้วยวิธีอะไร และได้ถกเถียงกันว่ามีการเรียกร้องมากกว่าการทำวิจัย รวมไปถึงการประเมินค่าความต้องการของประชาธิปไตยแบบดิจิตอล ซึ่งนักทฤษฎีเน้นถึงการออกแบบและขั้นตอนของการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยีให้มีส่วนร่วมกับประชาธิปไตยเช่นเดียวกับการแสดงถึงการฝึกปฏิบัติทางการสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตย
ริชาร์ด เดวิสและไดอาน่า โอเว่น(ค.ศ.1998) ให้ความเห็นว่าผลกระทบของการเมืองของสื่อการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยีและรูปแบบใหม่ต่างๆนั้น ไปรวมเข้ากับผลกำไรและอุปสรรคต่างๆ ผู้ใช้การสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยี สามารถรวบรวมข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวกับการเมืองและรัฐบาลได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มการสนทนาเกี่ยวกับกิจกรรมการเมืองต่างๆ กับผู้คนอื่นๆ ประชาชนสามารถติดตามการบัญญัติกฎหมายโดยเข้าผ่านtrascriptของคณะกรรมการ วิจัยเกี่ยวกับสถิติของการเลือกตั้ง การหาเสียงและนโยบาย ซึ่งง่ายกว่าการสืบค้นเอง เดวิดและโอเว่น เห็นตรงกันว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดี แต่มันอาจจะไม่เป็นประชาธิปไตยโดยตรงหรือเปล่า เพราะระบอบประชาธิปไตยแบบดิจิตอลอาจเข้าใจอยากและละเอียดซับซ้อนในวิธีการนำเสนอ ทั้งคู่กลัวการสนับสนุน เทเลดิโมเครซี่ กล่าวว่า เพียงกดแป้นคีย์บอร์ดความคิดเห็น สามารถแสดงและสื่อสารได้ทั่วโลก แต่การตอบสนองอย่างต่อเนื่องแบบนี้ไม่น่าเป็นทางออกของนโยบายสาธารณะ ในขณะที่ความคิดเห็นมาจากผู้แต่งของเรา ซึ่งก็มีความแตกต่างทางด้านความคิดทางประชาธิปไตย
เราสามารถพบเจอกับปัญหาที่มีประโยชน์ วิธีและความหลากหลายของการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยีและการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์ ส่งผลต่อประชาธิปไตยอย่างไร เราสามารถถาม คำถามสำคัญๆ อย่างเช่น การเข้าถึงเอกสารของราชการอย่างอิสระนั้น สามารถเพิ่มความมีอำนาจของประชาชนได้หรือเปล่า แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ก็เป็นที่ถกเถียงกันว่า ถ้าอินเทอร์เน็ตกลายมาเป็นอีกช่องทางหนึ่งของคนที่มีประสบการณ์หรือความรู้มากในเรื่องการเมืองอยู่แล้ว จะทำให้เพิ่มความเป็นประชาธิปไตยเพียงนิดเดียว
มีการเพิ่มความสนใจมากขึ้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีการสื่อสารทางการเมือง เช่น อินเทอร์เน็ตและเวิร์ลไวด์เว็บ ไม่ว่าจะเห็นเป็นเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ในการทำงานหรือใช้ทั่วไปที่ต่อต้านประชาธิปไตย นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า การสื่อสารและการสื่อสารทางการเมืองนั้นกำลังเปลี่ยนไป ซึ่งสัมพันธ์กับการสื่อสารรูปแบบใหม่ๆ ที่ออกมาทุกวันนี้ ผู้ใช้บางคนเชื่อว่าการสื่อสารในรูปแบบใหม่นี้เป็นประชาธิปไตยที่ฟื้นฟูขึ้นมาและคนอื่นๆมองว่าเป็นความอันตราย
ผลกระทบของการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยี(ICT)และสื่อสารทางคอมพิวเตอร์(CMC)ต่อประชาธิปไตย การสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยี(ICT)เพิ่มมาตราส่วนและความเร็วในการจัดหาข้อมูล สิ่งนี้ช่วยให้ประชาชนรู้มากขึ้น การมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นง่ายขึ้นและลดการมีอุปสรรค ความไม่สนใจ ความอาย พิการ(ไร้ความสามารถ) เวลาและอีกมากมาย การสื่อสารทางคอมพิวเตอร์(CMC)สร้างสรรค์วิธีการต่างๆ ในการจัดการหัวข้อเรื่องโดยเฉพาะเจาะจง เป็นกลุ่มสำหรับปรึกษาหารือ การจัดจำหน่ายในราคาถูก อินเทอร์เน็ตทำให้สามารถเข้าไปใช้การสื่อสารทางการเมืองโดยไม่เสียเงินจากการแทรกแซงของรัฐ เพิ่มการเผยแพร่การสื่อสารทางการเมือง ประชาชนมีส่วนในการผลักดันร่างหรือการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติของรัฐบาล เป็นสื่อที่ได้รับข้อมูลข่าวสารโดยตรงไม่บิดเบือน จากความเป็นจริง การเมืองจะได้รับการโต้ตอบอย่างโดยตรงจากประชาชนโดยผ่านสื่อการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยี(ICT)และสื่อสารทางคอมพิวเตอร์(CMC) ทำให้เกิดการวิจัยการตลาดที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับการเมืองรูปแบบใหม่ โปรแกรมการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยี(ICT)และสื่อสารทางคอมพิวเตอร์(CMC)นั้น ช่วยแก้ไขปัญหาของผู้แทนทางด้านประชาธิปไตยได้จริงหรือไม่ เช่น อาณาเขตของแต่ละเขตเลือกตั้ง
ด้วยสมมติฐาน 2 ข้อคือ
1.ทางด้านทฤษฎี
2.ทางด้านการฝึกปฏิบัติ
โดยเฉพาะปัญหาทางด้านทฤษฎีนั้นคือ ความคิดเห็นและคำจำกัดความของประชาธิปไตยอิเล็กทรอนิก
หลักทฤษฎีของประชาธิปไตยดิจิตอลรูปแบบไหนที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดและทำไม จะเน้นไหมว่าประชาธิปไตยโดยตรงจะขัดแย้งกับพวกผู้ใหญ่ทางการเมืองหรือเปล่า ระบบประชาธิปไตยโดยตรงนั้นจะมองเห็นภาพได้ชัดขึ้นไหมหรือว่าจะทำงานได้ เราจะมีสิทธิเท่าเทียมกับคนอื่นๆไหม เมื่อเปรียบเทียบกับการเมืองแบบเก่า การสื่อสารทางการเมืองทุกรูปแบบนั้นจะเป็นประชาธิปไตยหมดหรือไม่ เป้าหมายทางด้านผลประโยชน์การค้าจะมีผลกระทบต่อการส่งเสริมประชาธิปไตย วิธีปัจจุบันทางอินเทอร์เน็ตในเรื่องของการขยายทางด้านความสนใจทางเศรษฐกิจและการตลาดควบคู่ไปกับการกระจายข้อมูลของรัฐบาลจะสนับสนุนหรือขัดแย้งกันจากข้อมูลที่มาจากทางรัฐบาลโดยตรงและเป็นไปในรูปแบบใด ความไม่เท่าเทียมกันในสังคมจะมีผลต่อประชาธิปไตยในรูปแบบนี้อย่างไร จะออกมาดีขึ้นหรือแย่ลง จะยอมให้มันเป็นไปอย่างช้าๆหรือจะต้องใช้ความพยายามมากขึ้นจากรัฐบาลเพื่อให้มันขยายวงกว้างออกไปในอนาคต จะมีวิธีทำอย่างไรที่ข้อมูลของรัฐบาลจะไปถึงประชาชนได้เร็วที่สุดที่เกี่ยวกับประชาธิปไตย จะทำอย่างไรถ้าผู้คนไม่สนใจ จะทำอย่างไรให้กรอบของการสนทนาเรื่องเกี่ยวกับการเมือง เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยแบบดิจิตอลคนจะได้รู้กันมาก ระบบนี้ประชาชนจะแน่ใจได้หรือไม่ว่าตนจะไม่ถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวหรือไม่ทำผิดกับคนอื่น จะทำอย่างไรที่จะลดความได้เปรียบเสียเปรียบของแต่ละคนที่ไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน คนที่มีฐานะต่างกันในสังคมจะทำอย่างไรถึงจะให้ได้รับประโยชน์หรือเสียประโยชน์เท่ากันได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจะทำอย่างไร ดิจิตอลไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นกัน แต่จะทำอย่างไรให้รัฐบาลเอาไปใช้ตัดสินใจได้ แน่นอนเลยว่า นี่เป็นรายการคำถามที่ยาวมาก ซึ่งคุณจะไม่พบคำตอบของคำถามเหล่านี้ ในหนังสือเล่มนี้ แต่คุณจะได้ความคิดและรายงานเกี่ยวกับวิจัย ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจมากขึ้น
บทนำและประวัติ-ทฤษฎีและสรุป คำอธิบายถึงประวัติของวิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ซึ่งเปรียบเหมือนกับระบบการสื่อสารที่มีขนาดใหญ่ อีกทั้งยังเน้นถึงวิสัยทัศน์และการค้นพบโดยบังเอิญของผู้ที่ริเริ่มอินเทอร์เน็ต ความสัมพันธ์เกิดขึ้นระหว่างการค้นพบเหล่านี้กับการสื่อสารทางประชาธิปไตยในรูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพ
ภาพแรกของการใช้อินเทอร์เน็ตคือช่วยในการสื่อสารระหว่างผู้นำของแต่ละชาติในทางที่จะทำให้รูปแบบทางความคิด ในการแก้ไขวิกฤติต่างๆนั้นง่ายขึ้น
เจน แวน ดิส อธิบายถึงคำจำกัดความของประชาธิปไตยดิจิตอลที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว โอกาสและขีดจำกัดของประชาธิปไตยดิจิตอล ซึ่งหลายคนและพรรคการเมืองในสังคมตีความกันนั้นขึ้นอยู่กับความคิดเห็นหรือกรอบของประชาธิปไตย แวน ดิส ได้แบ่งประชาธิปไตยออกเป็น 6 ประการส่วนใหญ่ก็ขึ้นมาจากนักรัฐศาสตร์ชาวอังกฤษ เดวิด เฮล์ด นักกฎหมาย,การแข่งขัน,นักพหุนิยม,ประชามติ,การมีส่วนร่วม และนักเสรีนิยมทางประชาธิปไตย เขาแสดงให้เห็นถึงว่า ผู้สนับสนุนความคิดเห็นเหล่านี้ เน้นถึงข้อดีและข้อเสียของการใช้สื่อใหม่ทางด้านการเมืองและเลือกโปรแกรมโปรดของพวกเขาอย่างไร ซึ่งข้อความของโปรแกรมเหล่านี้คือระบบการเมืองที่จะบันทึกลงในระบบของรูปแบบทางการเมืองที่สร้างสรรค์ ในทางสังคมตะวันตกและตะวันออก บทบาทหลักสำคัญก็คือรัฐบาล,รัฐประศาสนศาสตร์การบริหารรัฐกิจ,พรรคการเมือง,สถาบันสาธารณะ,องค์กรประชาชน,บริษัทเอกชน,สถาบันทางกฎหมายและองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งเส้นทางการสื่อสารระหว่างบทบาทเหล่านี้ จะถูกปรับเปลี่ยนโดยการใช้การสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยี(ICT)และสื่อสารทางคอมพิวเตอร์(CMC)
ภายหลังต่อมารูปแบบของการสื่อสารระหว่างความสัมพันธ์ของบทบาทที่กล่าวมานั้น จะเปลี่ยนแปลงไปด้วยการใช้การสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยี(ICT)และสื่อสารทางคอมพิวเตอร์(CMC) คนส่วนใหญ่คิดว่า ประชาธิปไตยดิจิตอล หมายถึงการพูดคุยทางการเมือง ซึ่งก็ถูก แต่อย่างไรก็ตามจริงๆแล้ว การพูดคุยสื่อสารทางการเมืองนั้นหมายถึงอะไรกันแน่ แวน ดิส แบ่งการสื่อสารออกเป็น 4 รูปแบบ ซึ่งมีความหมายแตกต่างกัน สื่อสารแบบการกระจายเสียง,การปรึกษาหารือ,ลงทะเบียนและบทสนทนา
การสื่อสารประเภทไหนที่จะยังคงมีอยู่ในอนาคต การโฆษณาทางการเมืองผ่านการพูดคุยทางทีวี ข้อมูลความคืบหน้าทางการเมืองผ่านอินเทอร์เน็ต ระบบการโหวตทางสายโทรศัพท์หรือการโต้วาทีสาธารณะผ่านทางอินเทอร์เน็ตหรือสื่อใหม่อื่นๆ
โดย มาร์ติน ฮาเกน เน้นปัญหาของประชาธิปไตยดิจิตอล จากการเปรียบเทียบมุมมองความคิดเห็น นำเสนอบทวิเคราะห์ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประชาธิปไตยดิจิตอลนั้น ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมทางการเมืองอย่างมาก ซึ่งวัฒนธรรมทางการเมืองและสถาบันเฉพาะการเมืองของเยอรมัน อังกฤษ และอเมริกัน ได้สร้างพื้นฐานสำคัญที่ต่างกันและโปรแกรมที่นิยมของประชาธิปไตยดิจิตอลขึ้น ความแตกต่างกันของวัฒนธรรมทางการเมืองและระบบต้องการการดูแลพิเศษในการคิดค้น ประชาธิปไตยดิจิตอล สำหรับแบบการปกครองที่เฉพาะเจาะจงลงไป ซึ่งเป็นความจริงเมื่อมีความพยายามที่จะยืมกรอบทางประชาธิปไตยดิจิตอลของอเมริกันมาใช้ในประเทศอื่นๆ ในบทของ เฮเกน ได้ชี้เอาความแตกต่างที่เห็นได้ชัด ในวิธีการของแต่ละชาติและสามารถเรียนรู้ถึงประชาธิปไตยดิจิตอลได้มากขึ้น โดยการเปรียบเทียบการศึกษาได้อย่างไร
โดย จอร์น คีน เขาพูดว่าชีวิตสาธารณะในทุกวันนี้ ปรากฏในพื้นที่สาธารณะที่เชื่อมต่อกัน เช่น อินเทอร์เน็ต เขายังพูดถึงอีกว่าพื้นที่สาธารณะหนึ่งเดียวกันนั้นล้าสมัย เพราะการสื่อสารผ่านทางไทเบอร์ สเปซ หรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ติดต่อสื่อสารกัน ไม่มีจำกัดในทางอาณาเขตทางธรรมชาติหรือของรัฐและเขาก็มองว่าการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์(CMC) เป็นเหมือนกับยุคใหม่ ซึ่งอิทธิพลอำนาจของสื่อส่วนใหญ่อย่างทีวีและวิทยุนั้นจะหมดลง ซึ่งในบทนี้อธิบายถึงระดับของพื้นที่สาธารณะเป็น 3 ระดับคือ เล็ก กลาง ใหญ่ ซึ่งอธิบายอีกว่าพื้นที่สาธารณะขนาดเล็ก ประสานกับการสื่อสารทางการเมืองสามารถเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นใน ร้านกาแฟ การพบปะในเมือง และพื้นที่อื่นๆ เขาอธิบายว่าสังคมและการเมืองนั้น ใช้การสื่อสารเป็นตัวขยายอำนาจและจำกัดพื้นที่ของตัวมันเอง มากกว่าการกำหนดหลักการทางประชาธิปไตยขึ้นมา เขาคาดว่าประชาธิปไตยดิจิตอลจะทำงานได้ดี เมื่อฝ่ายค้านอนุญาตและส่งเสริมหรือกระตุ้นการสื่อสารทางประชาธิปไตยดิจิตอล
ซินิคคา แซสซี ถกถึงกรอบของพื้นที่สาธารณะว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่และการสนทนาในอนาคตที่ครอบคลุมการปกครองแบบประชาธิปไตยและสภาพความเป็นอยู่ของสังคมประชาชน นักวิชาการหญิงมีเจตนาวิจารณ์ดารา ส่วนที่ว่าการรวม การแบ่งแยกระหว่างเรื่องสาธารณะและเรื่องส่วนตัวเข้าด้วยกัน ซึ่งตอนหลังได้กำหนดใหม่ว่าพื้นที่สาธารณะนั้น ประกอบไปด้วยพื้นที่สาธารณะหลากหลาย ซึ่งรวมถึงแนวคิดที่น่าเชื่อถือและการประเมินค่าความแตกต่างในพื้นที่เหล่านี้
แซสซี คิดว่าความคิดเป็นคู่และไต่ถามถึงว่าความสัมพันธ์ระหว่างเครือข่าย เธอต้องการที่จะรวมสองลักษณะและจุดประสงค์ของเครือข่ายนี้ ที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเข้าด้วยกัน แนวคิดหลักก็คือภาวะวิกฤติของความเป็นหนึ่งเดียว กับการแบ่งแยก ความเปลี่ยนแปลงขอบข่ายของความเป็นส่วนตัวและสาธารณะและการส่งผลต่อการเมือง
เคนเนธ แอล แฮคเกอร์ ผู้ซึ่งมองว่าสถานที่ตั้งของประชาธิปไตยดิจิตอลมีความสัมพันธ์กับการเมืองของอเมริกา การบริหารงานของคลินตัน “ข้อมูลเร่งด่วน”ว่าเป็นส่วนที่เพิ่มการมีส่วนร่วมทางการเมือง ดังนั้นการประสบความสำเร็จและความล้มเหลวของพวกเขา จึงเป็นเรื่องสำคัญในการไต่สวน เมื่อพิจารณาถึงเรื่องของศักยภาพและความเสี่ยงของประชาธิปไตย
ข้อมูลทางสังคมสงเคราะห์เกี่ยวกับเครือข่ายประชาธิปไตย อินเทอร์เน็ต เวิร์ลไวด์เว็บ และระบบการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์(CMC)ของทำเนียบขาว ได้มีออกมาตั้งแต่1993 ซึ่งเป็นข้อมูลที่ทันสมัย แฮคเกอร์ พูดถึงข้อเสนอทั่วไป ของการสนทนาระหว่างประชาชนกับผู้นำระดับชาติ ซึ่งนำการทำงานเก่าๆ ของการสนทนาและทฤษฎีปัจจุบันเกี่ยวกับการพึ่งพาอาศัยกัน
อนิตา เอลเบิร์ส , แมทธิว เฮลและวิลเลี่ยม เอช ดัทตัน พูดถึงประสบการณ์แรกๆของเครือข่ายประชาธิปไตย คู่มือการโหวตแบบอิเล็กทรอนิกส์สามารถใช้ศึกษาว่า เวิร์ลไวด์เว็บ สามารถใช้ในการแก้ปัญหาและเปิดทางสู่การหาเสียงทางการเมือง ที่สามารถเป็นที่รู้แจ้งกันมากขึ้น แต่ก็ยังประสบกับปัญหาอื่นๆ ผู้เขียนจึงแสดงตัวอย่างว่าเทคโนโลยีอย่างเดียวไม่เพียงพอ ที่รับรองประชาธิปไตยดิจิตอลและคำถามอีกมากมายเกี่ยวกับโครงการนี้
นิโคลัส เจนคาวสกีและมาร์ติน แวนเซลเลม ตรวจสอบและประเมินค่าถึงคุณภาพของข้อมูลและการสื่อสารประชาธิปไตยดิจิตอล ซึ่งเป็นคำถามที่ถูกถามกันเป็นอย่างมาก เกี่ยวโยงกับประวัติของอินเทอร์เน็ต ปัญหาทั้งหมดของบทก่อนหน้านี้และความคิดเห็นเกี่ยวกับการสนทนาทางการเมือง ตลอดจนการพึ่งพาอาศัยกันในบทของแฮคเกอร์
เจน แวน ดิส เกี่ยวกับช่องว่างของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยดิจิตอล ปัญหาในการมีส่วนร่วมทางการเมือง ประชาธิปไตยและสังคมก็คือ ความไม่เท่าเทียมกันของข้อมูล ซึ่งอาจแบ่งแยกได้ไปตามฐานะจนกับรวย ซึ่งมีอย่างแพร่หลายในประเทศทางตะวันตก
ประชาธิปไตยแบบดิจิตอล ก็คือการใช้ข้อมูลหรือการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยี(ICT)และการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์(CMC) เพื่อเพิ่มความมีส่วนร่วมในการสื่อสารด้านประชาธิปไตยของประชาชน โดยในหนังสือเล่มนี้จะพบกับการสื่อสารมากมายของนักวิทยาศาสตร์ที่พุ่งตรงไปในปัญหาเรื่องทฤษฎี ประชาธิปไตยดิจิตอล การฝึกปฏิบัติและความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์และการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยี ที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตย
เราใช้คำว่า ประชาธิปไตยดิจิตอลเพื่อจะได้สัมพันธ์กับการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยีและการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์ โดยได้ให้ความหมายของประชาธิปไตยดิจิตอล คือชุดสะสมของความตั้งใจที่จะฝึกปฏิบัติทางประชาธิปไตย โดยไม่มีกำหนดเวลา สถานที่ และสภาพทางร่างกายต่างๆ โดยใช้การสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยีและการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์แทน แต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นการแทนที่ระบบประชาธิปไตยอนาล็อกโดยสิ้นเชิง
แนวคิดของประชาธิปไตยดิจิตอล ทำให้ทิ้งแนวความคิดเดิม(ประชาธิปไตยอนาล็อก) คำว่า “ประชาธิปไตยแท้จริง” บอกถึงว่าประชาธิปไตยแบบการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์นั้นเป็นสื่อที่รวมหลากหลายรูปแบบของประชาธิปไตย เพื่อเป็นการเปรียบเทียบกัน ในหนังสือเล่มนี้จะมีการพิสูจน์ให้เห็นถึงผลลัพธ์ของการฝึกปฏิบัติประชาธิปไตย ผ่านทางประชาธิปไตยแบบดิจิตอล ซึ่งผสมผสานโดยผ่านสื่อการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยีและการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์ สื่อสารกันโดยเห็นหน้าตากัน คำว่า “เทเลดิโมเครซี่” การสื่อสารโดยการพูดคุย ซึ่งได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับประชาธิปไตยโดยการสนับสนุนของ รอส เพอร์รอท , อัลวิน ท็อฟเฟอร์ และคนอื่นๆ โดยในหนังสือเล่มนี้จะได้เห็นความผสมผสานระหว่างประชาธิปไตยโดยตรงหรือโดยผู้แทน
คำว่า “อิเล็กทรอนิก ดิโมเครซี่” นั้นเป็นการใช้คำที่กว้างไป เพราะยังมีโปรแกรมอื่นๆ ที่เผยแพร่และพูดคุยอีกมากมาย ที่เป็นอิเล็กทรอนิกเช่นเดียวกัน ส่วนคำว่า “ไซเบอร์ ดิโมเครซี่”เป็นสื่อที่หละหลวมและคลุมเครือมากที่สุด
แน่นอนว่ามีการคาดหมายและการเรียกร้องในสื่อใหม่ๆ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ในปี ค.ศ.1992 โธมัส เอดิสัน กล่าวว่า รูปภาพการเคลื่อนไหวนั้นจะมาแทนที่หนังสือเรียนในโรงเรียนต่างๆ ต่อมา แซมอล มอร์ส ผู้คิดค้นโทรเลขได้คาดเดาไว้ว่า ความสันติสุขของโลก จะเป็นผลมาจากการคิดค้นของเขา เจ.ลิคไลเดอร์ผู้ออกแบบ คีย์ เอพีอาร์ เอเน็ต ทำนายล่วงหน้าว่าอะไรที่กลายมาเป็นอินเทอร์เน็ตนั้น จะเป็นเครื่องมือสู่สันติสุขของโลก ผู้ท่องอินเทอร์เน็ตบางคนก็กล่าวว่า วิทยุ จะเป็นเหมือนกับมหาวิทยาลัยที่ไม่มีกำแพงในช่วงยุค1970-1980 เคเบิ้ล ทีวีนั้นได้กล่าวถึงการปฏิวัติทางการศึกษาหลายครั้งโดยใช้ระบบของพวกเขา ซึ่งที่กล่าวมาเล่านี้เป็นการพูดซึ่งไม่สนใจกับความเป็นจริง ที่ว่าเทคโนโลยีนั้นจะหมายถึงการสื่อสารมากกว่าการแทนที่ ซึ่งต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
เราจะพูดถึงการหลอกลวงและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้กับประชาธิปไตย ซึ่งอาจจะตามมาด้วยการยกระดับประชาธิปไตยโดยไม่ต้องอาศัยแรงมาก โดยสัมพันธ์กับประชาธิปไตยแบบดิจิตอล ซึ่งเรียกว่า “ประชาธิปไตยออร์แกนิค” ถึงอย่างไรก็ตามก็ยังบ่งชี้โดยชัดเจนถึงการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยีและการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์นั้นสามารถช่วยโปรโมทประชาธิปไตยได้ที่ไหนและมีรูปแบบและขั้นตอนของประชาธิปไตยแบบดิจิตอลอย่างไร เช่น จอร์น คีน ถกเถียงว่า สื่อสารทางการเมืองในรูปแบบกลุ่มส่วนน้อยมีผลที่ดีต่อระบบการเมืองประชาธิปไตย
เทรีซา แอร์ริสัน , ทิโมธี สตีเฟ่น และลิซ่า ฟัลวี(ค.ศ.1999) ได้ทำการสำรวจที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์ด้านการสื่อสาร ได้ทำการสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีการสื่อสารกับประชาธิปไตยด้วยวิธีอะไร และได้ถกเถียงกันว่ามีการเรียกร้องมากกว่าการทำวิจัย รวมไปถึงการประเมินค่าความต้องการของประชาธิปไตยแบบดิจิตอล ซึ่งนักทฤษฎีเน้นถึงการออกแบบและขั้นตอนของการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยีให้มีส่วนร่วมกับประชาธิปไตยเช่นเดียวกับการแสดงถึงการฝึกปฏิบัติทางการสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตย
ริชาร์ด เดวิสและไดอาน่า โอเว่น(ค.ศ.1998) ให้ความเห็นว่าผลกระทบของการเมืองของสื่อการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยีและรูปแบบใหม่ต่างๆนั้น ไปรวมเข้ากับผลกำไรและอุปสรรคต่างๆ ผู้ใช้การสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยี สามารถรวบรวมข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวกับการเมืองและรัฐบาลได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มการสนทนาเกี่ยวกับกิจกรรมการเมืองต่างๆ กับผู้คนอื่นๆ ประชาชนสามารถติดตามการบัญญัติกฎหมายโดยเข้าผ่านtrascriptของคณะกรรมการ วิจัยเกี่ยวกับสถิติของการเลือกตั้ง การหาเสียงและนโยบาย ซึ่งง่ายกว่าการสืบค้นเอง เดวิดและโอเว่น เห็นตรงกันว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดี แต่มันอาจจะไม่เป็นประชาธิปไตยโดยตรงหรือเปล่า เพราะระบอบประชาธิปไตยแบบดิจิตอลอาจเข้าใจอยากและละเอียดซับซ้อนในวิธีการนำเสนอ ทั้งคู่กลัวการสนับสนุน เทเลดิโมเครซี่ กล่าวว่า เพียงกดแป้นคีย์บอร์ดความคิดเห็น สามารถแสดงและสื่อสารได้ทั่วโลก แต่การตอบสนองอย่างต่อเนื่องแบบนี้ไม่น่าเป็นทางออกของนโยบายสาธารณะ ในขณะที่ความคิดเห็นมาจากผู้แต่งของเรา ซึ่งก็มีความแตกต่างทางด้านความคิดทางประชาธิปไตย
เราสามารถพบเจอกับปัญหาที่มีประโยชน์ วิธีและความหลากหลายของการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยีและการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์ ส่งผลต่อประชาธิปไตยอย่างไร เราสามารถถาม คำถามสำคัญๆ อย่างเช่น การเข้าถึงเอกสารของราชการอย่างอิสระนั้น สามารถเพิ่มความมีอำนาจของประชาชนได้หรือเปล่า แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ก็เป็นที่ถกเถียงกันว่า ถ้าอินเทอร์เน็ตกลายมาเป็นอีกช่องทางหนึ่งของคนที่มีประสบการณ์หรือความรู้มากในเรื่องการเมืองอยู่แล้ว จะทำให้เพิ่มความเป็นประชาธิปไตยเพียงนิดเดียว
มีการเพิ่มความสนใจมากขึ้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีการสื่อสารทางการเมือง เช่น อินเทอร์เน็ตและเวิร์ลไวด์เว็บ ไม่ว่าจะเห็นเป็นเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ในการทำงานหรือใช้ทั่วไปที่ต่อต้านประชาธิปไตย นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า การสื่อสารและการสื่อสารทางการเมืองนั้นกำลังเปลี่ยนไป ซึ่งสัมพันธ์กับการสื่อสารรูปแบบใหม่ๆ ที่ออกมาทุกวันนี้ ผู้ใช้บางคนเชื่อว่าการสื่อสารในรูปแบบใหม่นี้เป็นประชาธิปไตยที่ฟื้นฟูขึ้นมาและคนอื่นๆมองว่าเป็นความอันตราย
ผลกระทบของการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยี(ICT)และสื่อสารทางคอมพิวเตอร์(CMC)ต่อประชาธิปไตย การสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยี(ICT)เพิ่มมาตราส่วนและความเร็วในการจัดหาข้อมูล สิ่งนี้ช่วยให้ประชาชนรู้มากขึ้น การมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นง่ายขึ้นและลดการมีอุปสรรค ความไม่สนใจ ความอาย พิการ(ไร้ความสามารถ) เวลาและอีกมากมาย การสื่อสารทางคอมพิวเตอร์(CMC)สร้างสรรค์วิธีการต่างๆ ในการจัดการหัวข้อเรื่องโดยเฉพาะเจาะจง เป็นกลุ่มสำหรับปรึกษาหารือ การจัดจำหน่ายในราคาถูก อินเทอร์เน็ตทำให้สามารถเข้าไปใช้การสื่อสารทางการเมืองโดยไม่เสียเงินจากการแทรกแซงของรัฐ เพิ่มการเผยแพร่การสื่อสารทางการเมือง ประชาชนมีส่วนในการผลักดันร่างหรือการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติของรัฐบาล เป็นสื่อที่ได้รับข้อมูลข่าวสารโดยตรงไม่บิดเบือน จากความเป็นจริง การเมืองจะได้รับการโต้ตอบอย่างโดยตรงจากประชาชนโดยผ่านสื่อการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยี(ICT)และสื่อสารทางคอมพิวเตอร์(CMC) ทำให้เกิดการวิจัยการตลาดที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับการเมืองรูปแบบใหม่ โปรแกรมการสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยี(ICT)และสื่อสารทางคอมพิวเตอร์(CMC)นั้น ช่วยแก้ไขปัญหาของผู้แทนทางด้านประชาธิปไตยได้จริงหรือไม่ เช่น อาณาเขตของแต่ละเขตเลือกตั้ง
ด้วยสมมติฐาน 2 ข้อคือ
1.ทางด้านทฤษฎี
2.ทางด้านการฝึกปฏิบัติ
โดยเฉพาะปัญหาทางด้านทฤษฎีนั้นคือ ความคิดเห็นและคำจำกัดความของประชาธิปไตยอิเล็กทรอนิก
หลักทฤษฎีของประชาธิปไตยดิจิตอลรูปแบบไหนที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดและทำไม จะเน้นไหมว่าประชาธิปไตยโดยตรงจะขัดแย้งกับพวกผู้ใหญ่ทางการเมืองหรือเปล่า ระบบประชาธิปไตยโดยตรงนั้นจะมองเห็นภาพได้ชัดขึ้นไหมหรือว่าจะทำงานได้ เราจะมีสิทธิเท่าเทียมกับคนอื่นๆไหม เมื่อเปรียบเทียบกับการเมืองแบบเก่า การสื่อสารทางการเมืองทุกรูปแบบนั้นจะเป็นประชาธิปไตยหมดหรือไม่ เป้าหมายทางด้านผลประโยชน์การค้าจะมีผลกระทบต่อการส่งเสริมประชาธิปไตย วิธีปัจจุบันทางอินเทอร์เน็ตในเรื่องของการขยายทางด้านความสนใจทางเศรษฐกิจและการตลาดควบคู่ไปกับการกระจายข้อมูลของรัฐบาลจะสนับสนุนหรือขัดแย้งกันจากข้อมูลที่มาจากทางรัฐบาลโดยตรงและเป็นไปในรูปแบบใด ความไม่เท่าเทียมกันในสังคมจะมีผลต่อประชาธิปไตยในรูปแบบนี้อย่างไร จะออกมาดีขึ้นหรือแย่ลง จะยอมให้มันเป็นไปอย่างช้าๆหรือจะต้องใช้ความพยายามมากขึ้นจากรัฐบาลเพื่อให้มันขยายวงกว้างออกไปในอนาคต จะมีวิธีทำอย่างไรที่ข้อมูลของรัฐบาลจะไปถึงประชาชนได้เร็วที่สุดที่เกี่ยวกับประชาธิปไตย จะทำอย่างไรถ้าผู้คนไม่สนใจ จะทำอย่างไรให้กรอบของการสนทนาเรื่องเกี่ยวกับการเมือง เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยแบบดิจิตอลคนจะได้รู้กันมาก ระบบนี้ประชาชนจะแน่ใจได้หรือไม่ว่าตนจะไม่ถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวหรือไม่ทำผิดกับคนอื่น จะทำอย่างไรที่จะลดความได้เปรียบเสียเปรียบของแต่ละคนที่ไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน คนที่มีฐานะต่างกันในสังคมจะทำอย่างไรถึงจะให้ได้รับประโยชน์หรือเสียประโยชน์เท่ากันได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจะทำอย่างไร ดิจิตอลไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นกัน แต่จะทำอย่างไรให้รัฐบาลเอาไปใช้ตัดสินใจได้ แน่นอนเลยว่า นี่เป็นรายการคำถามที่ยาวมาก ซึ่งคุณจะไม่พบคำตอบของคำถามเหล่านี้ ในหนังสือเล่มนี้ แต่คุณจะได้ความคิดและรายงานเกี่ยวกับวิจัย ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจมากขึ้น
บทนำและประวัติ-ทฤษฎีและสรุป คำอธิบายถึงประวัติของวิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ซึ่งเปรียบเหมือนกับระบบการสื่อสารที่มีขนาดใหญ่ อีกทั้งยังเน้นถึงวิสัยทัศน์และการค้นพบโดยบังเอิญของผู้ที่ริเริ่มอินเทอร์เน็ต ความสัมพันธ์เกิดขึ้นระหว่างการค้นพบเหล่านี้กับการสื่อสารทางประชาธิปไตยในรูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพ
ภาพแรกของการใช้อินเทอร์เน็ตคือช่วยในการสื่อสารระหว่างผู้นำของแต่ละชาติในทางที่จะทำให้รูปแบบทางความคิด ในการแก้ไขวิกฤติต่างๆนั้นง่ายขึ้น
เจน แวน ดิส อธิบายถึงคำจำกัดความของประชาธิปไตยดิจิตอลที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว โอกาสและขีดจำกัดของประชาธิปไตยดิจิตอล ซึ่งหลายคนและพรรคการเมืองในสังคมตีความกันนั้นขึ้นอยู่กับความคิดเห็นหรือกรอบของประชาธิปไตย แวน ดิส ได้แบ่งประชาธิปไตยออกเป็น 6 ประการส่วนใหญ่ก็ขึ้นมาจากนักรัฐศาสตร์ชาวอังกฤษ เดวิด เฮล์ด นักกฎหมาย,การแข่งขัน,นักพหุนิยม,ประชามติ,การมีส่วนร่วม และนักเสรีนิยมทางประชาธิปไตย เขาแสดงให้เห็นถึงว่า ผู้สนับสนุนความคิดเห็นเหล่านี้ เน้นถึงข้อดีและข้อเสียของการใช้สื่อใหม่ทางด้านการเมืองและเลือกโปรแกรมโปรดของพวกเขาอย่างไร ซึ่งข้อความของโปรแกรมเหล่านี้คือระบบการเมืองที่จะบันทึกลงในระบบของรูปแบบทางการเมืองที่สร้างสรรค์ ในทางสังคมตะวันตกและตะวันออก บทบาทหลักสำคัญก็คือรัฐบาล,รัฐประศาสนศาสตร์การบริหารรัฐกิจ,พรรคการเมือง,สถาบันสาธารณะ,องค์กรประชาชน,บริษัทเอกชน,สถาบันทางกฎหมายและองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งเส้นทางการสื่อสารระหว่างบทบาทเหล่านี้ จะถูกปรับเปลี่ยนโดยการใช้การสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยี(ICT)และสื่อสารทางคอมพิวเตอร์(CMC)
ภายหลังต่อมารูปแบบของการสื่อสารระหว่างความสัมพันธ์ของบทบาทที่กล่าวมานั้น จะเปลี่ยนแปลงไปด้วยการใช้การสื่อสารสนเทศทางเทคโนโลยี(ICT)และสื่อสารทางคอมพิวเตอร์(CMC) คนส่วนใหญ่คิดว่า ประชาธิปไตยดิจิตอล หมายถึงการพูดคุยทางการเมือง ซึ่งก็ถูก แต่อย่างไรก็ตามจริงๆแล้ว การพูดคุยสื่อสารทางการเมืองนั้นหมายถึงอะไรกันแน่ แวน ดิส แบ่งการสื่อสารออกเป็น 4 รูปแบบ ซึ่งมีความหมายแตกต่างกัน สื่อสารแบบการกระจายเสียง,การปรึกษาหารือ,ลงทะเบียนและบทสนทนา
การสื่อสารประเภทไหนที่จะยังคงมีอยู่ในอนาคต การโฆษณาทางการเมืองผ่านการพูดคุยทางทีวี ข้อมูลความคืบหน้าทางการเมืองผ่านอินเทอร์เน็ต ระบบการโหวตทางสายโทรศัพท์หรือการโต้วาทีสาธารณะผ่านทางอินเทอร์เน็ตหรือสื่อใหม่อื่นๆ
โดย มาร์ติน ฮาเกน เน้นปัญหาของประชาธิปไตยดิจิตอล จากการเปรียบเทียบมุมมองความคิดเห็น นำเสนอบทวิเคราะห์ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประชาธิปไตยดิจิตอลนั้น ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมทางการเมืองอย่างมาก ซึ่งวัฒนธรรมทางการเมืองและสถาบันเฉพาะการเมืองของเยอรมัน อังกฤษ และอเมริกัน ได้สร้างพื้นฐานสำคัญที่ต่างกันและโปรแกรมที่นิยมของประชาธิปไตยดิจิตอลขึ้น ความแตกต่างกันของวัฒนธรรมทางการเมืองและระบบต้องการการดูแลพิเศษในการคิดค้น ประชาธิปไตยดิจิตอล สำหรับแบบการปกครองที่เฉพาะเจาะจงลงไป ซึ่งเป็นความจริงเมื่อมีความพยายามที่จะยืมกรอบทางประชาธิปไตยดิจิตอลของอเมริกันมาใช้ในประเทศอื่นๆ ในบทของ เฮเกน ได้ชี้เอาความแตกต่างที่เห็นได้ชัด ในวิธีการของแต่ละชาติและสามารถเรียนรู้ถึงประชาธิปไตยดิจิตอลได้มากขึ้น โดยการเปรียบเทียบการศึกษาได้อย่างไร
โดย จอร์น คีน เขาพูดว่าชีวิตสาธารณะในทุกวันนี้ ปรากฏในพื้นที่สาธารณะที่เชื่อมต่อกัน เช่น อินเทอร์เน็ต เขายังพูดถึงอีกว่าพื้นที่สาธารณะหนึ่งเดียวกันนั้นล้าสมัย เพราะการสื่อสารผ่านทางไทเบอร์ สเปซ หรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ติดต่อสื่อสารกัน ไม่มีจำกัดในทางอาณาเขตทางธรรมชาติหรือของรัฐและเขาก็มองว่าการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์(CMC) เป็นเหมือนกับยุคใหม่ ซึ่งอิทธิพลอำนาจของสื่อส่วนใหญ่อย่างทีวีและวิทยุนั้นจะหมดลง ซึ่งในบทนี้อธิบายถึงระดับของพื้นที่สาธารณะเป็น 3 ระดับคือ เล็ก กลาง ใหญ่ ซึ่งอธิบายอีกว่าพื้นที่สาธารณะขนาดเล็ก ประสานกับการสื่อสารทางการเมืองสามารถเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นใน ร้านกาแฟ การพบปะในเมือง และพื้นที่อื่นๆ เขาอธิบายว่าสังคมและการเมืองนั้น ใช้การสื่อสารเป็นตัวขยายอำนาจและจำกัดพื้นที่ของตัวมันเอง มากกว่าการกำหนดหลักการทางประชาธิปไตยขึ้นมา เขาคาดว่าประชาธิปไตยดิจิตอลจะทำงานได้ดี เมื่อฝ่ายค้านอนุญาตและส่งเสริมหรือกระตุ้นการสื่อสารทางประชาธิปไตยดิจิตอล
ซินิคคา แซสซี ถกถึงกรอบของพื้นที่สาธารณะว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่และการสนทนาในอนาคตที่ครอบคลุมการปกครองแบบประชาธิปไตยและสภาพความเป็นอยู่ของสังคมประชาชน นักวิชาการหญิงมีเจตนาวิจารณ์ดารา ส่วนที่ว่าการรวม การแบ่งแยกระหว่างเรื่องสาธารณะและเรื่องส่วนตัวเข้าด้วยกัน ซึ่งตอนหลังได้กำหนดใหม่ว่าพื้นที่สาธารณะนั้น ประกอบไปด้วยพื้นที่สาธารณะหลากหลาย ซึ่งรวมถึงแนวคิดที่น่าเชื่อถือและการประเมินค่าความแตกต่างในพื้นที่เหล่านี้
แซสซี คิดว่าความคิดเป็นคู่และไต่ถามถึงว่าความสัมพันธ์ระหว่างเครือข่าย เธอต้องการที่จะรวมสองลักษณะและจุดประสงค์ของเครือข่ายนี้ ที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเข้าด้วยกัน แนวคิดหลักก็คือภาวะวิกฤติของความเป็นหนึ่งเดียว กับการแบ่งแยก ความเปลี่ยนแปลงขอบข่ายของความเป็นส่วนตัวและสาธารณะและการส่งผลต่อการเมือง
เคนเนธ แอล แฮคเกอร์ ผู้ซึ่งมองว่าสถานที่ตั้งของประชาธิปไตยดิจิตอลมีความสัมพันธ์กับการเมืองของอเมริกา การบริหารงานของคลินตัน “ข้อมูลเร่งด่วน”ว่าเป็นส่วนที่เพิ่มการมีส่วนร่วมทางการเมือง ดังนั้นการประสบความสำเร็จและความล้มเหลวของพวกเขา จึงเป็นเรื่องสำคัญในการไต่สวน เมื่อพิจารณาถึงเรื่องของศักยภาพและความเสี่ยงของประชาธิปไตย
ข้อมูลทางสังคมสงเคราะห์เกี่ยวกับเครือข่ายประชาธิปไตย อินเทอร์เน็ต เวิร์ลไวด์เว็บ และระบบการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์(CMC)ของทำเนียบขาว ได้มีออกมาตั้งแต่1993 ซึ่งเป็นข้อมูลที่ทันสมัย แฮคเกอร์ พูดถึงข้อเสนอทั่วไป ของการสนทนาระหว่างประชาชนกับผู้นำระดับชาติ ซึ่งนำการทำงานเก่าๆ ของการสนทนาและทฤษฎีปัจจุบันเกี่ยวกับการพึ่งพาอาศัยกัน
อนิตา เอลเบิร์ส , แมทธิว เฮลและวิลเลี่ยม เอช ดัทตัน พูดถึงประสบการณ์แรกๆของเครือข่ายประชาธิปไตย คู่มือการโหวตแบบอิเล็กทรอนิกส์สามารถใช้ศึกษาว่า เวิร์ลไวด์เว็บ สามารถใช้ในการแก้ปัญหาและเปิดทางสู่การหาเสียงทางการเมือง ที่สามารถเป็นที่รู้แจ้งกันมากขึ้น แต่ก็ยังประสบกับปัญหาอื่นๆ ผู้เขียนจึงแสดงตัวอย่างว่าเทคโนโลยีอย่างเดียวไม่เพียงพอ ที่รับรองประชาธิปไตยดิจิตอลและคำถามอีกมากมายเกี่ยวกับโครงการนี้
นิโคลัส เจนคาวสกีและมาร์ติน แวนเซลเลม ตรวจสอบและประเมินค่าถึงคุณภาพของข้อมูลและการสื่อสารประชาธิปไตยดิจิตอล ซึ่งเป็นคำถามที่ถูกถามกันเป็นอย่างมาก เกี่ยวโยงกับประวัติของอินเทอร์เน็ต ปัญหาทั้งหมดของบทก่อนหน้านี้และความคิดเห็นเกี่ยวกับการสนทนาทางการเมือง ตลอดจนการพึ่งพาอาศัยกันในบทของแฮคเกอร์
เจน แวน ดิส เกี่ยวกับช่องว่างของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยดิจิตอล ปัญหาในการมีส่วนร่วมทางการเมือง ประชาธิปไตยและสังคมก็คือ ความไม่เท่าเทียมกันของข้อมูล ซึ่งอาจแบ่งแยกได้ไปตามฐานะจนกับรวย ซึ่งมีอย่างแพร่หลายในประเทศทางตะวันตก